มมส มีมติมอบปริญญาวิศวกรรมศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ “บิ๊กกุ้ง”



เมื่อวันที่ 29 ก.ย. 2568 สภามหาวิทยาลัยมหาสารคาม หรือ มมส มีมติมอบ ปริญญาวิศวกรรมศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิศวกรรมเครื่องกล แด่ “บิ๊กกุ้ง” พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2


โดย เพจเฟซบุ๊ก Mahasarakham University Thailand ได้โพสต์ข้อความระบุว่า สภามหาวิทยาลัยมหาสารคาม มีมติมอบปริญญาวิศวกรรมศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิศวกรรมเครื่องกล แด่ พลโท บุญสิน พาดกลาง การประชุมสภามหาวิทยาลัยมหาสารคาม ครั้งที่ 9/2568 วันที่ 26 กันยายน 2568


ขณะที่ทางเพจเฟซบุ๊ก “กองทัพภาคที่ 2” ได้มีการแชร์โพสต์ดังกล่าว ซึ่งก็มีผู้เข้ามาร่วมแสดงความยินดีกันเป็นจำนวนมาก

ปิดฉาก 15 ปี! อาจารย์ ม.ดัง ประกาศลาออก ร่ายยาวสาเหตุ อ่านแล้วสะเทือนใจ



เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 ผู้ช่วยศาสตราจารย์เดชวินิตย์ ศรีพิณ อาจารย์ประจำหลักสูตรจิตรกรรม คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ได้โพสต์ประกาศผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Dechvinit Sripin ถึงการตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง หลังปฏิบัติหน้าที่มาตั้งแต่ปี 2553

โดย ผศ.เดชวินิตย์ เปิดเผยเหตุผลว่า ไม่เห็นพ้องกับนโยบายมหาวิทยาลัยที่มีแนวทางควบรวมหลักสูตรจิตรกรรมเข้ากับดนตรีสากล โดยมองว่าอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพการเรียนการสอน และเป็นการปิดกั้นโอกาสของนักศึกษาที่มุ่งมั่นตั้งใจเลือกศึกษาสาขาศิลปะแขนงนี้โดยเฉพาะ โดยระบุว่า ข้าพเจ้า ผู้ช่วยศาสตราจารย์เดชวินิตย์ ศรีพิณ อาจารย์ประจำหลักสูตรจิตรกรรม คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี เริ่มทำงาน เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2553 – กันยายน 2568 (ปัจจุบัน)

ข้าพเจ้าครุ่นคิดเกี่ยวกับหน้าที่การงานของข้าพเจ้ามาพักใหญ่ ๆ พยายามที่จะเรียงร้อยมันออกมาให้เป็นข้อความที่สละสลวย เป็นภาษาทางการ แต่คิดไปคิดมา ใช้ภาษาง่าย ๆ บ้าน ๆ น่าจะตรงกับความรู้สึกและจริตส่วนลึกของข้าพเจ้าที่สุด เรื่องของเรื่องมันเป็นอย่างนี้นะครับ สาเหตุของความคับข้องใจ เกิดจากทางมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรที่เปิดในมหาวิทยาลัย ได้มีนโยบายเกี่ยวกับการควบรวมหลักสูตร (เฉพาะหลักสูตรที่ทางผู้ออกนโยบายมองว่าน่าจะควบรวมกันได้)

ซึ่งหลักสูตรจิตรกรรมที่ข้าพเจ้าสังกัด จะต้องควบรวมกับหลักสูตรดนตรีสากล ซึ่งทางคณาจารย์ประจำหลักสูตรจิตรกรรมได้ช่วยกันหาข้อมูลเกี่ยวกับการควบรวมหลักสูตรที่มีลักษณะดังกล่าวนี้ โดยมีเกณฑ์สำคัญว่าต้องมีวิชาแกนที่เป็นวิชาบังคับอย่างน้อย 3 – 4 รายวิชา (จิตรกรรม+ดนตรีสากล) จากโจทย์ข้างต้นนี้และข้อมูลที่ทางหลักสูตรจิตรกรรมไปรวบรวมมา คณาจารย์ประจำหลักสูตรจิตรกรรมเห็นว่า การควบรวมดังกล่าวไม่สามารถเขียนรายวิชาแกนตามกรอบที่มหาวิทยาลัยกำหนดได้ เพราะเป็นการฝืนธรรมชาติของศาสตร์ และการควบรวบหลักสูตรทั้งสองนี้ จะทำให้เกิดความเสียหายในระยะยาวต่อการศึกษา โดยเฉพาะกับนักศึกษาที่มีความปรารถนาจะเรียนจิตกรรม โดยมีรายละเอียด ดังนี้

ข้อที่ 1 ความเข้มข้นของศาสตร์ในการเรียนการสอนก็จะลดน้อย (ในกรณีนี้คือ จิตรกรรมและดนตรี)

ข้อที่ 2 นักศึกษาที่เลือกเรียนวาดรูป ต้องบังคับให้เรียนดนตรี (ซึ่งข้าพเจ้าไม่เห็นว่ามันมีความจำเป็นหรือเกี่ยวข้องกันตรงไหน คนรักการวาดรูปไม่จำเป็นต้องรักการเล่นดนตรี ในขณะเดียวกัน คนรักการเล่นดนตรีก็ไม่จำเป็นต้องบังคับให้วาดรูป)

นอกจากนี้ ให้เปลี่ยนชื่อปริญญาทั้งหลังจากการควบรวมทั้ง 2 หลักสูตรเป็นชื่อปริญญาศิลปกรรมศาสตร์บัณฑิต ตามความเห็นส่วนตัวของข้าพเจ้า ชื่อปริญญาของหลักสูตรดนตรีสากล ถ้าจะปรับแก้ก็อาจจะปรับเป็นดุริยางคศาสตร์บัณฑิต


ทั้งนี้ ทางมหาวิทยาลัยให้ร่างหลักสูตรให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด หากไม่สามารถร่างหลักสูตรภายในระยะเวลาที่กำหนด ทางมหาวิทยาลัยจะไม่เปิดรับนักศึกษาของทางหลักสูตรจิตรกรรมปีการศึกษา 2569 (หรือนี้คือบทลงโทษ) ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นจริงก็คือการเปิดรับนักศึกษาในปีการศึกษาล่าสุดนี้ ทางมหาวิทยาลัย ไม่มีการเปิดรับนักศึกษาหลักสูตรจิตรกรรม ทั้ง ๆ ที่ หลักสูตรจิตรกรรมปรับปรุงปี 2566 – 2570 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันยังไม่หมดอายุ


หลักสูตรจิตรกรรมยังสามารถเปิดรับนักศึกษาได้ถึงปี 2570 ซึ่งทางหลักสูตรจิตรกรรมเห็นว่าการตัดสินใจกระทำการดังกล่าวของมหาวิทยาลัยไม่เป็นการส่งเสริมทางการศึกษา อย่างที่สถาบันทางการศึกษาควรจะเป็น จากการศึกษาข้อมูลของคณาจารย์ในหลักสูตรจิตกรรม และเห็นว่าไม่สามารถควบรวมหลักสูตรจิตรกรรมกับหลักสูตรดนตรีได้นี้ ทางหลักสูตรได้ยื่นเอกสารชี้แจงต่อผู้บริหารมหาวิทยาลัย และขอคำอธิบายต่อความเสียหายที่จะเกิดขึ้น รวมไปถึงชี้แจงเรื่องราวรายละเอียดของเนื้อหารายวิชาและชื่อปริญญา โดยได้ส่งหนังสือทวงถามตามระบบโดยปกติ รวมไปถึงยื่นผ่านทางระบบไปรษณีย์และระบบออนไลน์ ถึงสาเหตุที่ไม่เปิดรับนักศึกษาหลักสูตรจิตรกรรม ปี 2569 เพราะนั่นเท่ากับเป็นการปิดกั้นทางการศึกษาอย่างเห็นได้ชัด (นักศึกษาหลักสูตรจิตรกรรมจำนวนรับ 40 คน นักศึกษาแรกเข้า เฉลี่ย 35 คนต่อปีการศึกษา)


แต่การบันทึกข้อความทวงถาม นับรวมกว่าสิบกว่าฉบับนั้น จนถึงปัจจุบันนี้ เอกสารดังกล่าว ไม่มีการตอบกลับ ไม่มีการชี้แจงใด ๆ จากผู้บริหาร คณะ และมหาวิทยาลัย แม้แต่สักฉบับเดียว หลักสูตรที่ข้าพเจ้าสอนอยู่ ได้ผ่านระเบียบทุกขั้นตอนทุกอย่าง จนมาถึงการอนุมัติหลักสูตรให้เปิดใช้ได้ครั้งละ 5 ปี แต่มาวันนี้ข้าพเจ้ายังไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดจึงไม่เปิดรับนักศึกษาหลักสูตรจิตรกรรม ข้าพเจ้ามองว่าการที่เราได้สอนนักศึกษา เราตั้งใจสอนให้เขาเป็นคนดี สอนให้เขามีงานทำที่ดี สอนให้เขาเป็นผู้นำที่ดี เรามีความต้องการที่จะให้ในสิ่งดี ๆ แก่นักศึกษา แต่ตอนนี้สิ่งที่มหาวิทยาลัยกำลังปฏิบัติเป็นการตัดโอกาสทางการศึกษาของนักศึกษา


ผมคิดว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ควรเกิดขึ้นในระบบการศึกษา ข้าพเจ้าอยากจะกล่าวเพิ่มเติมนอกเหนือจากเรื่องการควบรวมหลักสูตร คือ เรื่อง TOR นั้น ได้กดทับให้คณาจารย์ผู้รักในการสอนเหนื่อยหน่าย หากอยากอยู่รอดในอาชีพการงานนี้ ต้องเป็นไปตาม TOR ไม่มีใครกล้าออกมาพูดเรื่องราวความเป็นอยู่ของคณาจารย์ในรั้วมหาวิทยาลัย เพื่อนอาจารย์หลายท่านหายไป หลักสูตรหายไป นักศึกษาหายไป


หากวันนี้ข้าพเจ้ายังเห็นแก่ตัวอยู่ เพียงเพราะคิดว่าต้องเอาตัวเองให้รอดก่อน ต้องมีงานทำ ข้าพเจ้าจะมีแค่คำนำหน้าชื่อว่า อาจารย์ เท่านั้น เป็นอาจารย์ที่สบายท่ามกลางหยาดเหงื่อของพ่อแม่ของนักศึกษาแล้วยังจะกล้าเป็นผู้ให้ความรู้แต่ขาดจริยธรรมสูงสุดของความเป็นครูอย่างนั้นหรือ


ข้าพเจ้ารักและศรัทธาในอาชีพการสอน แต่ข้าพเจ้าหมดศรัทธากับสิ่งที่เกิดขึ้น ข้าพเจ้าตัดสินใจลาออกหลังการปฏิบัติหน้าที่เสร็จสมบูรณ์ ในปีการศึกษานี้ หวังว่าจะเกิดเรื่องราว ดี ๆ กับนักศึกษา อาจารย์ และมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี

TQ. หลุด: ภาพอันน่าสลดใจของ Vu Mong Long ที่ถูกดึงข้ามโลกอย่างไร้ทางสู้ จะตามหลอกหลอนผู้ที่ได้ประสบพบเห็นตลอดไป



คุณอยู่ที่นี่: หน้าแรก / Uncategorized / หลุด: ช่วงเวลาสุดเศร้าของ Vu Mong Long ที่ถูกดึงลากข้ามพื้นดินในช่วงเวลาที่อ่อนแอที่สุดของเขา — ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังก่อนที่ความตายจะมาถึง


วิดีโอที่สะเทือนขวัญผู้คนนับล้าน


เมื่อวิดีโอที่หลุดออกมาถูกเผยแพร่ออกไป ผู้ชมนับล้านต่างตกตะลึง ทันใดนั้น วุม ม็อก ลอปก์ ดาราดาวรุ่งพุ่งแรงก็ถูกลากอย่างไร้ทางสู้ ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตอย่างกะทันหัน ใบหน้าของเขา — เปล่งประกายด้วยความหวังที่จะบอกเล่าเรื่องราวในวัยเด็ก — ถูกบิดเบือนด้วยความกลัวและความหวาดกลัว


เปิดทะเบียนรถเคลื่อนร่าง “เจ๊เกียว” ลูกน้องเศร้าทั้งอู่เชิดชัย



เปิดทะเบียนรถเคลื่อนร่าง “เจ๊เกียว” ลูกน้องเศร้าทั้งอู่เชิดชัยรอรับครั้งสุดท้าย ทั้งงานอยู่ในความเศร้าโศก

จากกรณีการจากไปของนางสุจินดา เชิดชัย หรือที่รู้จักกันในชื่อ เจ๊เกียว ผู้ได้รับฉายาว่า เจ้าแม่รถทัวร์ ผู้ประกอบธุรกิจอู่ต่อรถทัวร์เชิดชัยอุตสาหกรรม และเดินรถโดยสารสาย 21 กรุงเทพฯ-โคราช และสายอื่นๆ ในประเทศไทย ถึงแก่กรรมด้วยความสงบในวัย 88 ปี ที่บ้านพักภายในอู่เชิดชัย ถนนมิตรภาพ อำเภอเมืองนครราชสีมา


โดยจะมีพิธีรดน้ำศพในวันจันทร์ที่ 29 กันยายน 2568 เวลา 16.00 น. ณ.อู่เชิดชัยทั้งนี้ ที่ผ่านมา เจ๊เกียวมีโรคประจำตัวและรักษาตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงวันคล้ายวันเกิดและสงกรานต์ในแต่ละปีจะเปิดอู่ทำบุญท่ามกลางลูกหลานและผู้เคารพนับถือเข้าร่วมงานจำนวนมาก

ทั้งนี้ในวันที่ 29 เวลาประมาณ 13.50 น. ได้มีการเคลื่อนร่างของเจ๊เกียว ขึ้นรถทะเบียน 8กษ7804 เพื่อไปประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลยังบริษัทเชิดชัยอุตสาหกรรม จำกัด



โดยมีลูกชายและลูกสาว คือ น.ส.กฤตินี เชิดชัย นายอัสนี เชิดชัย และนายสุรวุฒิ เชิดชัย พร้อมด้วยพนักงานในบริษัทเชิดชัยอุสาหกรรม จำกัดและบริษัทในเครือ มายืนรอรับร่างของเจ๊เกียวพร้อมกับร้องไห้ด้วยความเศร้าโศกเสียใจ


กำหนดการพระราชทานน้ำหลวงอาบศพและสวดพระอภิธรรม


วันจันทร์ที่ 29 กันยายน 2568
เวลา 16.00 น. พิธีรดน้ำศพ
เวลา 17.00 น. พิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ โดยมี พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา องคมนตรี เป็นประธานในพิธี
เวลา 18.00 น. สวดพระอภิธรรม
วันอังคารที่ 30 กันยายน ถึง วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม 2568


เวลา 18.00 น. สวดพระอภิธรรมทุกวัน
โดยมี น.ส.กฤตินี เชิดชัย, ดร.อัสนี–นางลินดา เชิดชัย, นายสุรวุฒิ–น.ส.โสภิดา คิ้วคชา เชิดชัย พร้อมด้วยญาติพี่น้อง เป็นเจ้าภาพงานศพ

ข่าวด่วน!! ข่าวเศร้ายืนยันการเสียชีวิตของ… ดูเพิ่มเติม



ข่าวด่วน!! ข่าวเศร้ายืนยันการเสียชีวิตของ… ดูเพิ่มเติม


ข่าวด่วน!! ข่าวเศร้ายืนยันการเสียชีวิตของ… ดูเพิ่มเติม


ข่าวด่วน!! ข่าวเศร้ายืนยันการเสียชีวิตของ… ดูเพิ่มเติม


ข่าวด่วน!! ข่าวเศร้ายืนยันการเสียชีวิตของ… ดูเพิ่มเติม

หดหู่ เศรษฐีนีเจ้าของตลาด ลอยน้ำดับสลด ทิ้งทรัพย์สิน 100 ล้าน



หดหู่ เศรษฐีนีเจ้าของตลาด ลอยน้ำดับสลด ทิ้งทรัพย์สิน 100 ล้านไม่มีครอบครัว ฟังหลานเล่ายิ่งเศร้าใจเคยบ่นไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว

วันนี้ (28 ก.ย. 2568) เวลาประมาณ 10.00 น. เจ้าหน้าที่กู้ภัยสว่างราชบุรีรับแจ้งเหตุ มีชาวบ้านพบร่างหญิงลอยอยู่ในแม่น้ำแม่กลอง บริเวณด้านหลังรูปปั้นมังกร เขื่อนโพธาราม อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี จึงประสานตำรวจ สภ.โพธาราม แพทย์เวรโรงพยาบาลโพธาราม และหน่วยกู้ชีพลงพื้นที่ตรวจสอบ



ที่เกิดเหตุพบร่างหญิงวัยประมาณ 64 ปี เสียชีวิตในสภาพลอยน้ำ เจ้าหน้าที่นำร่างขึ้นมาตรวจสอบเบื้องต้น ก่อนส่งไปชันสูตรที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลศูนย์ราชบุรี เพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตอย่างละเอียด
ภายหลังทราบว่า ผู้เสียชีวิตคือเจ้าของตลาดล่าง อำเภอบ้านโป่ง ผู้ครอบครองทรัพย์สินนับร้อยล้าน ไม่มีครอบครัว อาศัยอยู่กับพี่น้องและหลาน ๆ ช่วงหลังมักบ่นว่านอนไม่หลับ ญาติจึงพาไปรักษาและรับยาทางจิตเวช อีกทั้งเจ้าตัวยังเคยพูดบ่อยครั้งว่า “ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว”


คืนเกิดเหตุเวลาประมาณ 04.00 น. หลานสาวเล่าว่า ได้ยินเสียงเปิดประตูเหล็กหน้าบ้าน แต่ไม่ได้เอะใจ กระทั่งเช้าไม่พบผู้ตายอยู่ในบ้าน จึงออกติดตามและโพสต์ประกาศตามหาผ่านสังคมออนไลน์ จนกระทั่งตำรวจแจ้งว่าพบศพลอยน้ำ จึงเดินทางไปตรวจสอบและยืนยันว่าเป็นญาติของตนจริง ๆ


เบื้องต้นตำรวจยังไม่ตัดประเด็นใดทิ้ง พร้อมรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แน่ชัด ก่อนมอบร่างผู้ตายให้ญาตินำไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป

ไม่อยากอยู่แล้ว… คำพูดสุดท้ายของเศรษฐีนี เช้ามาพบเสียชีวิตในแม่น้ำแม่กลอง



วันที่ 28 กันยายน 2568 ร.ต.ท.ชวลิต ทับทอมทอง รองสารวัตรสอบสวน สถานีตำรวจภูธรโพธาราม พร้อมแพทย์เวรโรงพยาบาลโพธารามและเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยสว่างราชบุรี เข้าตรวจสอบเหตุพบร่างลอยน้ำในแม่น้ำแม่กลอง พื้นที่ใกล้กับบริเวณมังกร ริมเขื่อนหาดทรายโพธาราม เขตเทศบาลเมืองโพธาราม จังหวัดราชบุรี


ในที่เกิดเหตุบริเวณแม่น้ำแม่กลอง พบร่างผู้เสียชีวิตลอยติดอยู่กับกอวัชพืชในลักษณะคว่ำหน้า สวมเสื้อสีเหลือง กู้ภัยจึงได้นำร่างขึ้นมาตรวจสอบ พบว่าเป็นเพศหญิง สวมกางเกงขาสั้นสามส่วนลายขาว-น้ำเงิน จากการตรวจสอบเบื้องต้นไม่พบบาดแผลภายนอก คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 7 ชั่วโมง


จากการสอบสวนทราบว่าในพื้นที่อำเภอบ้านโป่ง มีการประกาศตามหาคนหาย โดยระบุว่าเป็นหญิง สวมเสื้อสีเหลือง ซึ่งตรงกับลักษณะของผู้เสียชีวิต เจ้าหน้าที่จึงได้ประสานไปยังญาติของผู้สูญหายให้เดินทางมาดูร่าง เมื่อญาติเดินทางมาถึงได้ยืนยันว่าผู้เสียชีวิตคือ นางสาวธัญญพร (สงวนนามสกุล) อายุ 64 ปี ซึ่งเป็นเจ้าของตลาดแห่งหนึ่งในอำเภอบ้านโป่ง


ญาติให้ข้อมูลว่าผู้เสียชีวิตไม่มีครอบครัว พักอาศัยอยู่กับพี่น้องและหลาน มูลค่าทรัพย์สินส่วนตัวรวมกว่า 100 ล้านบาท ช่วงหลังมีอาการนอนไม่หลับและได้เข้ารับการรักษาโดยพบแพทย์ นอกจากนี้ยังเคยพูดกับญาติว่าไม่อยากมีชีวิตอยู่

คืนก่อนเกิดเหตุ เวลาประมาณ 04.00 น. หลานสาวได้ยินเสียงเปิดประตูเหล็ก แต่ไม่ได้เอะใจ กระทั่งช่วงเช้าไม่พบตัวผู้เสียชีวิตในบ้าน จึงออกติดตามและประกาศตามหาผ่านเพจ จนกระทั่งได้รับแจ้งจากตำรวจ สภ.โพธาราม ว่าพบร่างในแม่น้ำแม่กลองตามลักษณะที่ประกาศไว้


ทางพนักงานสอบสวนจึงได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยนำร่างผู้เสียชีวิตส่งผ่าชันสูตรที่โรงพยาบาล เพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตอย่างละเอียด พร้อมทั้งดำเนินการตรวจสอบประวัติและข้อมูลอื่นๆ ของผู้เสียชีวิตเพิ่มเติม

รู้แล้วสาเหตุแท้จริง!! สาว16 โดนวัยรุ่นรุมจนสลบ



จากกรณีที่โลกออนไลน์มีการเผยแพร่คลิปเหตุการณ์กลุ่มวัยรุ่นรุมทำร้ายหญิงอายุ 16 ปี จนสลบ ฟันหัก 2 ซี่ และมีบาดแผลฟกช้ำทั่วตัว เบื้องต้น ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า ผู้บาดเจ็บวิ่งหนีมาขอความช่วยเหลือที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งใน ต.บ้านเป็ด อ.เมืองขอนแก่น

ในเหตุการณ์มีวัยรุ่นหญิง 3 คน ตามมาโวยวาย ก่อนเจ้าของร้านจะรีบแจ้งเจ้าหน้าที่กู้ภัยและตำรวจมาช่วยเหลือ เบื้องต้นน้องอาการหนัก ปวดกราม ศีรษะ และบอบช้ำทั้งตัว

ด้านพ่อของผู้บาดเจ็บ เปิดเผยว่าลูกสาวถูกกลุ่มวัยรุ่นชาย – หญิงเกือบ 20 คนรุมทำร้าย ซึ่งลูกสาวเล่าให้ฟังว่าสาเหตุมาจากความหึงหวง ที่มีผู้ชายที่อีกฝ่ายกำลังคุยด้วย มาคุยกับลูก ซึ่งลูกก็ไม่ได้รู้ว่าผู้ชายมีแฟนอยู่หรือไม่ พออีกฝ่ายมาเจอลูกระหว่างทางก็เข้ามารุมทำร้าย

โดยคาดว่าจะเข้าใจว่าลูกของตนไปยุ่งกับฝ่ายชายจึงหึงหวง ยืนยันเอาเรื่องถึงที่สุด และเชื่อว่าจำตัวคนก่อเหตุได้ทั้งหมด โดยหนึ่งในนั้นคือหญิงที่สวมชุดนอนสีชมพูซึ่งปรากฏในคลิป

ด้าน พ.ต.อ.ภาคภูมิ เดชะเรืองศิลป์ ผกก.สภ.บ้านเป็ด ระบุว่า เบื้องต้นยังไม่มีการเข้าแจ้งความอย่างเป็นทางการจากผู้บาดเจ็บ เนื่องจากรอผู้ปกครองเดินทางมาพร้อมกัน แต่ยืนยันว่าคดีไม่ซับซ้อนเพราะมีคลิปหลักฐานชัดเจน และคาดว่าจะติดตามตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีได้เร็วทันทีที่ผู้เสียหายเข้าแจ้งความ

ด่วนที่สุด แจ้งผู้ว่าฯ 7 จังหวัด เตรียมแผนอพยพประชาชน ทันที



นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย มีหนังสือด่วนที่สุดถึงผู้ว่าราชการจังหวัด 7 จังหวัด


กรณีเกิดเหตุการณ์ปะทะระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชา บริเวณชายแดนช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พ.ค.ที่ผ่านมา ส่งผลให้ด่านชายแดนไทย-กัมพูชา และพื้นที่อื่น ต้องเพิ่มมาตรการป้องกันและระมัดระวังเหตุลุกลามมากยิ่งขึ้น โดยเน้นย้ำแนวทางปฏิบัติเพื่อรองรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น ดังนี้

1. ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด สั่งการให้นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านและชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ดำเนินการตามภารกิจการดูแลความมั่นคงภายใน ให้ความสำคัญสูงสุดกับการดูแลความปลอดภัยของประชาชน โดยประเมินสถานการณ์ จำนวนประชาชนในพื้นที่เสี่ยง ชี้แจงแผนอพยพประชาชน กำหนดจุดรวมพลและจุดพักพิงในพื้นที่ปลอดภัย ตลอดจนการดูแลประชาชนในจุดพักพิง ให้ทุกขั้นตอนปฏิบัติเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ


พร้อมปรับปรุงแผนเผชิญเหตุ กำหนดขั้นตอนการทำงานของเจ้าหน้าที่ เตรียมกำลังพลให้มีความพร้อมปฏิบัติการดูแลความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ตลอดจนสนับสนุนหน่วยทหารในการดูแลความปลอดภัยในพื้นที่


2. ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะผู้บัญชาการอาสารักษาดินแดนจังหวัด สั่งการเจ้าหน้าที่และสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน เตรียมความพร้อมกำลังพลเพื่อปฏิบัติงานในยามฉุกเฉิน ตรวจสอบพื้นที่ล่อแหลม สนับสนุนการเฝ้าตรวจและจัดระเบียบพื้นที่ชายแดน หากเกิดภาวะไม่ปกติให้ปฏิบัติตามแนวทางในแผนรักษาความมั่นคงตามแนวชายแดนและพิทักษ์พื้นที่เขตหลัง ประกอบแผนสั่งใช้สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน ปฏิบัติภารกิจประจำปี พ.ศ.2568

3. ประชาสัมพันธ์ชี้แจงให้ประชาชนทราบถึงสถานการณ์และแจ้งข่าวสารทางราชการให้ประชาชนทราบอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้เกิดความตื่นตระหนกและสามารถปฏิบัติตนได้เมื่อเกิดสถานการณ์

4. กรณีเกิดสถานการณ์ความไม่สงบอันส่งผลต่อความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ ให้จังหวัดรายงานสถานการณ์ให้กรมการปกครองทราบในวาระแรกโดยเร็วที่สุดจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย


ประกอบด้วย ตราด จันทบุรี สระแก้ว อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์ กำชับแนวทางการปฏิบัติงานในสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา

พ่อแท้ๆ ลั่นไกดับชีวิต ลูกชาย วัย 30 สอนไม่ฟัง ติดยามาตั้งแต่ ป.6 ไม่ทำงาน เอาแต่ขอเงิน เหลืออด ถีบแม่หัวฟาดพื้น



เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.นาข่า ได้รับแจ้งเหตุพ่อยิงลูกชายเสียชีวิต ภายในบ้านหลังหนึ่งในพื้นที่ อ.เมือง จ.อุดรธานี หลังรับแจ้งเหตุ จึงรุดออกไปตรวจสอบ พร้อมด้วยแพทย์เวรโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี และอาสากู้ภัยมูลนิธิอุดรสว่างเมธาธรรมสถาน เบื้องต้นทราบว่า ผู้ก่อเหตุ เดินออกมาจากบ้าน นั่งรอมอบตัวอยู่ที่บริเวณหน้าวัดธาตุสว่างโนนยาง ห่างจากบ้านที่เกิดเหตุประมาณ 500 เมตร ส่วนเจ้าหน้าที่ต้องเดินลุยน้ำ และนั่งซาเล้งเข้าไปจุดเกิดเหตุ เพราะมีน้ำท่วมสูงประมาณ 30 ซม.

ที่เกิดเหตุเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวยกพื้นสูง ที่บริเวณหน้าบ้านพบศพ นายตะวัน หรือ อ๊อฟ อายุ 30 ปี ลูกชายเจ้าของบ้าน นอนคว่ำหน้าจมกองเลือด สวมกางเกงขาสั้นตัวเดียว มีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนกระสุนลูกปราย เข้าที่หน้าอกเป็นรูพรุน ข้างกันพบรถจักรยานยนต์ 1 คัน และขวดน้ำเปล่า 1 ขวด ภายในบ้านพบ น.ส.สมปอง อายุ 59 ปี แม่นายอ๊อฟ นั่งตกใจตัวสั่นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนผู้ก่อเหตุชื่อ นายคำใบ อายุ 63 ปี สามี น.ส.สมปอง และเป็นพ่อแท้ๆ ของนายอ๊อฟ ทิ้งอาวุธปืนแก็บยาวไทยประดิษฐ์ 1 กระบอกไว้ที่แคร่ไม้หน้าบ้าน ก่อนจะเดินออกไปจากบ้าน

น.ส.สมปอง เล่าว่า ตนเพิ่งจะกลับมาบ้าน หลังจากไปขายของที่ตลาดบ้านดอนหาด วันนี้ตั้งใจจะกลับมาทำแกงเห็ดให้ลูกชาย เพราะเขาบ่นอยากกินตั้งแต่ตอนกลางวัน ก่อนกลับตนได้ซื้อเห็ดและผักติดมือกลับมาด้วย เมื่อมาถึงบ้านตนก็หาข้าวให้หมาที่เลี้ยงไว้ 2 ตัวก่อน และกำลังจะก่อเตาไฟทำกับข้าว ที่บริเวณหน้าบ้านที่ต่อเติมเป็นครัวยกสูงให้พ้นน้ำ เพราะมีน้ำท่วมรอบบริเวณบ้าน จากนั้นลูกชายเดินอ้อมมาหยิบขวดน้ำดื่ม แล้วเดินวนไปหน้าประตูบ้าน จากนั้นก็ได้ยินเสียงปืนดัง 1 นัด แล้วลูกชายก็ร้องด้วยความเจ็บปวด และเดินไปล้มลงที่หน้าบ้าน


ตอนที่ตนได้ยินเสียงปืน ก็ได้ยินเสียงลูกร้องด้วยความเจ็บปวด เมื่อหันไปมอง ก็ยังถามลูกอยู่ว่าทำไมมีเลือดออกเยอะจัง แล้วเขาก็คลานพร้อมกับร้องด้วยความเจ็บปวดไปล้มลงที่หน้าบ้าน ตนมีลูกชายเพียงคนเดียว ลูกชายติดยาบ้ามานานแล้ว เขาจะทะเลาะกับพ่อเขาอยู่เป็นประจำ คิดว่าคงจะทะเลาะกันอีกครั้ง แต่ก็ไม่นึกว่าพ่อจะยิงลูก ลูกก็เสพยา พ่อก็เมาเหล้า คงจะพูดคุยกันไม่เข้าหูอีก ตอนกลางวันลูกก็ตีพ่อมาแล้ว 2 ครั้ง ทุบทำลายข้าวของด้วย พ่อจึงมีอารมณ์และก่อเหตุขึ้น ตนก็ไม่รู้ว่าเรื่องตอนแรกเป็นมายังไง แต่ใครทำอะไรก็ขอให้รับกรรมที่ทำเอาไว้


ด้าน นายคำใบ พ่อผู้เสียชีวิต เล่าด้วยอาการมึนเมาสุราและโมโหว่า ก่อนเกิดเหตุตนออกไปหาปลา และไปเยี่ยมญาติ เมื่อกลับมาบ้าน ลูกชายก็ชวนทะเลาะอีก ลูกน่าจะหิวข้าว ส่วนแม่ก็กำลังจะทำกับข้าว แล้วลูกก็ด่าประชดแม่ บอกว่า สงสัยหมาคาบหมกปลาไปแล้วมั้ง จากนั้นลูกก็มาขอมาม่าตน ตนก็ให้ไป 2 ห่อ เมื่อเขากินเสร็จเขาก็ตะโกนด่าแม่ว่า xีควาย ตนโมโหจึงคิดว่าจะสั่งสอนลูก ตอนแรกอยากจะใช้มีดฟันคอ แต่คิดแล้วก็สะอิดสะเอียนเลือด จึงเข้าไปเอาปืนแก็บยาวของรุ่นน้องที่เอามาให้ตนไว้ยิงนก เอาออกมายิงไป 1 นัด เข้ากลางหน้าอกลูก ได้ยินเสียงร้อง 2 ครั้ง แล้วก็แน่นิ่งไป



เหลืออด ทะเลาะกับลูกเรื่องลูกติดยามาตลอด คอยบอกคอยสอนแต่ก็ไม่เชื่อฟัง ลูกติดยามาตั้งแต่ ป.6 เขาไม่ทำงานอะไร เอาแต่ขอเงินพ่อแม่ บอกเขาว่ายาบ้าไม่ดี ชาวบ้านเขารับไม่ได้ ลูกบอกว่าไม่ได้ขอเงินใคร แต่ที่เศร้าใจเพราะเขาขอแต่เงินพ่อแม่ ถึงแม้ลูกจะไม่เคยไปอาละวาดใคร แต่อาละวาดคนในครอบครัว ตนสุดจะทนจริงๆ กลัวเขาจะลักขโมยของคนอื่น ทำร้ายคนอื่น และ เมื่อ 2 วันก่อนลูกถีบแม่จนล้มหัวฟาดพื้น เขาโมโหที่แม่เอาแต่หาข้าวให้หมากิน ตนจึงตัดสินใจยิงลูกทิ้ง ติดคุกตนก็ไม่กลัว หากตอนนี้เห็นใครเสพหรือขายยาก็จะยิงทิ้งไปอีกศพ


นายเกียรติศักดิ์ สุวัตถุดี อายุ 55 ปี ผญบ.บ้านโนนยาง เล่าว่า หลังรับแจ้งเหตุตนก็รีบเข้ามาดูทันที เบื้องต้นเป็นการทะเลาะกันในครอบครัว ตนเคยมาระงับเหตุที่บ้านนี้หลายครั้งแล้ว เป็นเหตุลูกชายเสพยาคลั่งอาละวาดทำร้ายพ่อแม่ ตัวพ่อที่เป็นผู้ก่อเหตุ เขาก็เคยมาปรึกษาตนอยู่ตลอดในเรื่องนี้ คิดว่าคงจะเหลืออดกับพฤติกรรมของลูกชาย จึงก่อเหตุครั้งนี้ขึ้น หลังพ่อก่อเหตุ เขาก็เดินไปหาเพื่อนที่ร้านค้าในหมู่บ้านรอมอบตัว เมื่อตนไปถาม เขาก็ยอมรับสารภาพทั้งหมด และให้ตนเข้าไปเคลียร์ที่เกิดเหตุได้เลย



เบื้องต้นตำรวจได้ควบคุมตัวนายคำใบฯ พร้อมอาวุธปืนของกลางไปทำการสอบสวนเพิ่มเติมที่โรงพัก แจ้งข้อกล่าวหา x่าผู้อื่นโดยเจตนา และข้อหาตาม พรบ.อาวุธปืน ส่วนศพลูกชายได้มอบให้อาสากู้ภัยฯ นำไปเก็บรักษาไว้ที่แผนกนิติเวช รพ.ศูนย์อุดรธานี เพื่อรอผ่าตรวจสอบกระสุน และชันสูตรศพอย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนจะรอให้ญาติมาติดต่อรับศพเพื่อนำไปบำเพ็ญกุศลตามประพณีต่อไป

วันนี้มาแน่หนักด้วย!! เตือนจังหวัดรับมือฝนฟ้าคะนอง



27 กันยายน 2568 พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดพิษณุโลก เพชรบูรณ์ เลย หนองบัวลำภู อุดรธานี ชัยภูมิ ขอนแก่น นครราชสีมา บุรีรัมย์ จันทบุรี และตราด ส่วนภาคเหนือ และภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนตกหนักบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่าน พื้นที่ลุ่ม และพื้นที่น้ำท่วมขัง เนื่องจากร่องมรสุมกำลังแรงพาดผ่านภาคเหนือตอนล่างและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย  

สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังปานกลางถึงค่อนข้างแรงโดยทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง  

อนึ่ง พายุโซนร้อนกำลังแรง “บัวลอย” บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง คาดว่าจะเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามตอนบนในช่วงวันที่ 28-29 ก.ย. 68


ออกประกาศ 27 กันยายน 2568


พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทย


06:00 น. วันนี้ ถึง 06:00 น. วันพรุ่งนี้



ภาคเหนือ



มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ สุโขทัย อุตรดิตถ์ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ แม่ฮ่องสอน ตาก กำแพงเพชร และพิจิตร อุณหภูมิต่ำสุด 22-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส ลมแปรปรวน ความเร็ว 10-15 กม./ชม. 


ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ


มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 80 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง กับมีลมกระโชกแรง บริเวณจังหวัดเลย หนองบัวลำภู ชัยภูมิ หนองคาย อุดรธานี สกลนคร ขอนแก่น มหาสารคาม กาฬสินธุ์ มุกดาหาร ร้อยเอ็ด สุรินทร์ ศรีสะเกษ นครราชสีมา อุบลราชธานี บุรีรัมย์ ยโสธร และอำนาจเจริญ อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-32 องศาเซลเซียส ลมแปรปรวน ความเร็ว 10-30 กม./ชม.


ภาคกลาง

มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท ลพบุรี สระบุรี และกาญจนบุรี อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.

ภาคตะวันออก


มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 80 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง บริเวณจังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ระยอง จันทบุรี และตราด อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 27-32 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร


ภาคใต้(ฝั่งตะวันออก)


มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และสุราษฏร์ธานี อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ตั้งแต่จังหวัดสุราษฏร์ธานี ขึ้นมา : ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร และบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราช ลงไป : ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร และบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูง 1-2 เมตร

ภาคใต้(ฝั่งตะวันตก)


มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดระนอง และพังงา อุณหภูมิต่ำสุด 24-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส ตั้งแต่จังหวัดภูเก็ตขึ้นมา : ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ตั้งแต่จังหวัดกระบี่ลงไป : ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร


กรุงเทพและปริมณฑล


มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 80 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 25-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.

ราชกิจจาฯประกาศ 5 ราชองครักษ์พิเศษพ้นจากหน้าที่ พร้อมสาเหตุ



พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้นายทหารและนายตำรวจราชองครักษ์พิเศษพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากมีอายุครบ 70 ปีบริบูรณ์ รวมจำนวนทั้งสิ้น 5 นาย จากกองทัพเรือ กองทัพอากาศ และตำรวจ การแต่งตั้งนี้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบราชการที่เกี่ยวข้อง


ประกาศให้นายทหารราชองครักษ์พิเศษและนายตำรวจราชองครักษ์พิเศษ พ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ราชองครักษ์


มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้นายทหารราชองครักษ์พิเศษและนายตำรวจราชองครักษ์พิเศษ พ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ราชองครักษ์
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการถวายความปลอดภัย พ.ศ. 25260
มาตรา 6 มาตรา 7 และมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติราชองครักษ์ พุทธศักราช 248480
มาตรา 4 มาตรา 6 และมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัตินายตำรวจราชสำนัก พ.พ.ศ. 2495


และข้อ 6 ของระเบียบกระทรวงกลาโหมว่าด้วยการแต่งตั้งราชองครักษ์ พ.ศ. 2559 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้นายทหารราชองครักษ์พิเศษและนายตำรวจราชองครักษ์พิเศษ พ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ราชองครักษ์ เนื่องจากมีอายุครบ 70 ปีบริบูรณ์ จำนวน 5 นาย ดังนี้

พลเรือเอก ชัยณรงค์ เจริญรักษ์
พลเรือเอก รุ่งศักดิ์ เสรีสวัสดิ์
พลอากาศโท ธนูชัย ฤกษ์เย็น
พลตำรวจเอก วรพงษ์ ชิวปรีชา
พลตำรวจตรี ธงชัย วงศ์ศรีวัฒนกุล

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พุทธศักราช 2568
ประกาศ ณ วันที่ 22 กันยายน พุทธศักราช 2568 เป็นปีที่ 10 ในรัชกาลปัจจุบัน



    แม่ขี่จยย.พบลูกสาว 7 ขวบไปโรงเรียน มีลูกน้อยอีก2คนซ้อนไปด้วย ถูกเบนซ์ชนดับสลด 4 ศพ



    แม่ขี่จยย.พบลูกสาว 7 ขวบไปโรงเรียน มีลูกน้อยอีก2คนซ้อนไปด้วย ถูกเบนซ์ชนดับสลด 4 ศพเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2568 เวลา 07.51 น. ศูนย์วิทยุ สภ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี รับแจ้งเกิดเหตุรถเก๋งชนกับรถจักรยานยนต์บริเวณจุดกลับรถ(ยูเทิร์น) ตาเริ่ม ถนนทางหลวง 401 สุราษฎร์ธานี-นครศรีธรรมราช ฝั่งขาไป จ.นครศรีธรรมราช ท้องที่ หมู่ 8 ต.ท่าอุแท อ.กาญจนดิษฐ์ มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัสหลายราย จึงประสานกู้ภัย AR กาญจนดิษฐ์ ร่วมช่วยเหลือและตรวจสอบ



    ที่เกิดเหตุพบรถจักรยานยนต์ยี่ห้อซูซูกิ รุ่นสแมช สีดำ-แดง ถูกชนล้มคว่ำพังเสียหายมากมีผู้เสียชีวิตเป็นผู้หญิง 2 รายนอนกลางถนนทราบชื่อ น.ส.อรอุมา อายุ 38 ปี อยู่บ้านหมู่ 1 ต.ท่าอุแท อ.กาญจนดิษฐ์ กับเด็กหญิงนันท์ อายุ 7 ปี บุตรสาวคนโต และผู้บาดเจ็บสาหัสอีก 2 รายชื่อ เด็กหญิงใบหยก อายุ 3 ปี กับเด็กชายเก่ง อายุ 1 ปี บุตรคนรองและคนเล็ก กู้ภัยเร่งปฐมพยาบาลปั๊มหัวใจรีบนำส่งโรงพยาบาลกาญจนดิษฐ์และเสียชีวิตในเวลาต่อมา รวมเสียชีวิตแม่และลูกทั้งหมด 4 ราย



    ถัดไปห่างกัน 50 เมตรมีรถเก๋งยี่ห้อเบนซ์ แบบคูเป้ 2 ประตู สีบรอนซ์เงิน รุ่น c200 จอดอยู่ริมถนนพบบริเวณกันชนหน้าและไฟหน้าด้านขวามีรอยชนจนขาด ที่กระจกหน้าฝั่งคนขับมีรอยชนจนยุบเสียหาย



    สอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ น.ส.อรอุมา ขับรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวไปส่งเด็กหญิงนันท์ บุตรสาวคนโตไปโรงเรียน โดยนำน้องสาวคนรองและน้องชายคนเล็กไปส่งพี่สาวด้วย เมื่อถึงจุดเลี้ยวกลับรถเป็นจังหวะเดียวกับรถเก๋งแล่นตรงไปทางแยกบ้านใน อ.ดอนสัก หลบไม่ทันจึงเกิดชนกันอย่างจังมีผู้เสียชีวิตดังกล่าว ซึ่งตำรวจจะเร่งสอบสวนรายละเอียดต่อไป